[Photo Blog] When Pictures Tell | หนึ่งวัน หลายคน และ รอบข้าง

10:12 Unknown 0 Comments

วันนี้ (30.06.2015)เป็นอีกวันที่ได้ออกนอกบ้าน ช่วงนี้นานๆทีได้ออกไปบ้างเพราะทำงานที่บ้านแล้ว
อุตส่าห์ได้ออกไปทั้งที เลยพกกล้องไปด้วยซะเลย

สำหรับเรา เราว่ารูปสามารถบอกเรื่องราวของมันได้เอง แต่ในอีกแง่ เราก็สามารถใส่เรื่องราวเข้าไปในรูปได้เหมือนกันโดยที่มันอาจจะไม่เกี่ยวอะไรกับในรูปเลย

บล็อกนี้ไม่พิมพ์อะไรมากมาย แต่จะขอลงรูปรัวๆ
 
 


กล้อง : Fuji Film X-A2
แอปรูป : VSCO cam
บุลคลผู้เข้ากล้อง : หลิว, คนแถวๆบีทีเอส, ชาวต่างชาติบนเรือด่วน, หนุน, ฝ้าย, ปุยฝ้าย และ BAS
สถานที่ : บีทีเอสแบริ่ง สู่ บีทีเอสสยาม >> เรือด่วนเจ้าพระยาธงสีฟ้า >> น่านน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา >> ท่ามหาราช >> โรงยิมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ >> เวโลโดมคาเฟ่ >> หน้าตึกกิจกรรมนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ >> มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


-THANK YOU-



0 ความคิดเห็น:

[Movie Thoughts] Dr.Rintaro | ตอนที่ 7 ความพยายาม ความเสียสละ ความเข้าใจ

10:38 Unknown 0 Comments


ไม่รู้จะเริ่มเรื่องยังไงดีสำหรับบล็อกนี้...

คือเมื่อกี้เพิ่งดูดราม่าญี่ปุ่นเรื่อง Dr.Rintaro ตอนที่ 7 จบไป ความรู้สึกระหว่างดูและหลังดูมันเอ่อล้นมาก

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีและน่าสนใจมากอยู่แล้ว เพราะเกี่ยวกับจิตแพทย์ จิตวิทยา ความรู้สึกและปัญหาทางจิตใจของคน (สำหรับคนที่สนใจทางด้านนี้ ขอแนะนำให้ดูเลยค่ะ หรือ ใครไม่ได้สนใจเป็นพิเศษแต่หาดราม่าซีรีย์ที่น่าสนใจดูก็จะขอแนะนำให้ดูด้วย) ส่วนตอนนี้คือตอนที่7แล้ว พวกเนื้อเรื่องหลักก็ดำเนินไปเกือบจะถึงจุดพีคโน่นนี่และใกล้จะจบ สำหรับดราม่าญี่ปุ่นที่เป็นตอนๆแบบนี้ในแต่ละตอนจะมีเนื้อเรื่องย่อยใส่เข้ามาด้วยเพื่อเนื้อหาและความน่าสนใจของตอนจะได้มีมากขึ้น และตอนนี้เป็นตอนที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเนื้อเรื่องย่อยที่ผ่านมาหลายๆตอน


ตอนที่ 7 เนื้อเรื่องย่อยจะเกี่ยวกับลูกชายของพยาบาลที่เป็นโรคซาวอง ซินโดรมและมีอาการป่วยทางด้านการรับรู้ภาษา ง่ายๆคือเด็กชายคนนี้เป็นออทิสติกและมีปัญหาทางการด้านสื่อสาร ตามที่เข้าใจจากที่ดูในตอนนี้คือน้องไม่พูดแต่จะทำท่าทางหรือทำสัญญาณสื่อสารในทางอื่นแทน เด็กที่เป็นซาวอง ซินโดรมจะมีความสามารถพิเศษทางด้านในด้านหนึ่งอะไรประมานนั้นและเด็กในเรื่องก็มีความสามารถในการปั้นจนได้รางวัลใหญ่

แต่ที่ชอบไม่ใช่เพราะเป็นโรคที่น่าสนใจหรืออะไรแต่ชอบเพราะแง่คิดที่มีในตอนนี้ คือจิตแพทย์คนนึงในเรื่องต้องการจะทำการวิจัยเกี่ยวกับโรคซาวองนี้และต้องการแสกนMRI แต่หมอประจำตัวคนไข้อย่างรินทาโร่(ตัวเอก)เป็นห่วงว่าเด็กจะไม่สามารถทนการเข้าไปอยู่ในเครื่องแสกนอย่างนั้นนานๆได้ แล้วยิ่งถ้าจะให้บังคับก็จะยิ่งมีปัญหาในการสื่อสารเข้าไปใหญ่เพราะเด็กอาจจะปิดกั้นตัวของเค้ากับแม่หรือคนรักษาได้ แม่ของเด็กและรินทาโร่จึงปฏิเสทที่ให้ร่วมมือกับการวิจัย


แล้วสรุปคือ...เด็กคนนี้ยอมเข้าแสกนสมองเพื่อการวิจัยเอง ฉากที่น้องวิ่งเข้าไปหาหมอรินทาโร่เพื่อจะบอกความต้องการของตัวเอง ไปหยิบแผ่นฮิรากานะเพื่อจะสื่อสาร เป็นฉากที่ทำเราร้องไห้ มันตื่นตันมันรู้สึกซึ้งและกินใจอย่างบอกไม่ถูก ฉากนี้สื่อออกมาได้ดีมาก มันทำให้เราได้เห็นว่าเด็กคนนี้มีความคิดที่ดีมาก มองว่าถ้าตัวเองเสียสละในการเข้าแสกนเพื่อเอาไปวิจัยนี้ก็อาจจะช่วยให้มีการรักษาหรือช่วยเหลือเด็กคนอื่นๆที่เป็นโรคเดียวกับเขามากขึ้นในก็อนาคตได้ (ดูไปร้องไห้ตามไปเลยค่ะ มันแบบ...ตื้นตันกับการที่น้องพยายามสื่อสารและความคิดของน้อง)

คือมัน...ดีมาก มันดีมากจริงๆ พอถึงตรงนี้ปุ๊ปมันแบบอารมณ์ล้นมากว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงคิดได้ขนาดนี้ และการที่เค้ามีปัญหาทางด้านการรับรู้มันก็ยากในการที่เค้าจะสื่อสารอยู่แล้ว แต่เค้าพยายามที่จะพูดจะบอกสิ่งที่ตัวเองอยากจะบอกได้ ตอนนี้เราว่าเค้าทำดีมาก ไม่ได้จะบอกแค่ว่าเด็กมีความคิดแต่ก็เหมือนจะบอกคนดูด้วยว่าให้คิดถึงคนอื่นและทำเพื่อคนรอบข้างตัวเองไปด้วย ไม่ใช่แค่คิดถึงตัวเองในตอนนี้ แต่คิดถึงสิ่งที่จะช่วยทำให้มันดีขึ้นในอนาคตจากการเสียสละหรือการกระทำของเรา 

ขอเพิ่มเติมนิดนึง คือตอนแรกกะจบๆสวยด้วยการพูดถึงการเสียสละโน่นนี่ แต่อยากจะพูดถึงจุดที่ว่าในเรื่องเป็นคนที่เป็นออทิสติก เหมือนละครจะสื่อประมาณว่าสิ่งที่คนประเภทนี้ต้องการจากพวกเราไม่ใช่แค่ความช่วยเหลือจากด้านนอก แต่สิ่งที่เค้าต้องการที่สุดคือความเข้าใจ การเปิดใจยอมรับในความสามารถและพยายามเข้าใจความรู้สึกของเค้าแบบนี้คุณพยาบาลที่เป็นแม่และลูกชาย และไม่ใช่แค่เราที่เป็นห่วงและอยากปกป้องเค้าแต่เค้าก็เป็นห่วงและอยากปกป้องเราเหมือนกัน




ปล. ขอโทษที่แคปรูปมาโดยไม่ได้รับอนุญาตค่ะ ขอโทษและขอบคุณทีมงานDark Dramaด้วยค่ะ
ปล2. เนื้อหาอาจจะมีผิดโน่นนี่เพราะเป็นความคิดของเราหลังจากที่ได้ดูตอนนี้จบ ข้อมูลอาจจะผิดหรือยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ
ปล3. ใครสนใจดูเรื่องนี้ กดตามลิงค์นี้ได้เลยนะ >> Dr. Rintaro (Dark Drama)

0 ความคิดเห็น: